ความเร็วเป็นที่สิ่งที่มักจะไม่ถูกกับการทำสงครามเรือดำน้ำ ขณะที่ว่าเรือดำน้ำที่เรียกว่าเงียบสงบที่สุดยังมีเสียงดังเมื่อพวกเขาแล่นผ่านมหาสมุทรด้วยความเร็วสูงสุด 20 ถึง 30 นอต ซึ่งโดยปกติแล้วเป้าหมายในการทำสงครามของเรือดำน้ำ คือการตรวจจับฝ่ายตรงข้ามและโจมตีโดยไม่ให้ถูกตรวจจับ เรือดำน้ำส่วนมากจึงพยายามลดเสียงที่จะเกิดขึ้นจากการเคลื่อนที่เพื่อไม่ให้ถูกจับได้
อย่างไรก็ตาม ความเร็วอาจจะช่วยให้เรือดำน้ำสามารถโจมตีและหลบหนีไปได้โดยข้าศึกไม่ทันตั้งตัว
นั้นคือจุดประสงค์สำคัญที่ทำให้โซเวียตพัฒนาเรือดำน้ำพลังงานนิวเคลียร์ความเร็วสูง Project 661 เพื่อสำหรับใช้สกัดกั้นและทำลายกองเรือสหรัฐฯ
Project 661 หรือที่รู้จักกันในชื่อ Papa-class โดยที่ตั้งโดย NATO ได้รับการพัฒนาในช่วงปี 1959 พร้อมกับการออกแบบเรือดำน้ำ Project 705 หรือ Alfa-class แม้ว่าเรือทั้งสองลำจะแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง แต่ก็มีลำตัวทำจากโลหะผสมไทเทเนียมที่ทนทานแต่มีน้ำหนักเบากว่าเหล็ก เพื่อลดน้ำหนักและเพิ่มความเร็วของเรือ เหมิือนกัน ซึ่งเป็นวัสดุเดียวกันกับที่สหรัฐอเมริกาใช้ทำโครงสร้างเครื่องบิน SR-71 Blackbird
แต่การทำเรือดำน้ำด้วยวัสดุแบบนี้นั้นถือว่าไม่สามารถทำได้เพราะวัสดุที่จะเอามาใช้มันสามารถเชื่อมได้ในสภาพแวดล้อมที่ปราศจากออกซิเจนเท่านั้น แต่นั่นไม่ได้หยุดวิศวกรโซเวียตที่คนงานสามารถเชื่อมแผ่นไทเทเนียมหนา 60 มิลลิเมตรของตัวเรือของ Project 661 ในอาคารหมายเลข 42 ที่บรรจุแก๊สอาร์กอน ใน Severodvinsk
ค่าใช้จ่ายของโครงการนี้คือประมาณ 2 พันล้านรูเบิล(ในสมัยนั้น) ในชื่อโครงการว่า "ปลาทองคำ” แต่ปัญหาก็เกิดขึ้นแผ่นไทเทเนียมหลายแผ่นแตกเนื่องจากข้อบกพร่องในการผลิต โดยเฉพาะในถังอับเฉา จึงต้องมีการผลิตส่วนประกอบใหม่ซึ่งราคาก็แพงตามไปด้วย
ความแตกต่างระหว่างเรือลำนี้รุ่นและเรือดำน้ำชั้น Alfa คือ เรือดำน้ำชั้น Papa มีขนาดที่ใหญ่กว่ามาก โดยมีระหว่างมากถึง 7000ตัน ยาว 107 เมตร ในขณะที่เรือดำน้ำชั้น Alfa ยาวเพียงประมาณ 81 เมตร ระวางขับน้ำ 2300-3200ตันเท่านั้น ทั้งนี้เพราะภารกิจที่ออกแบบมาแตกต่างกันคือเรือดำน้ำชั้นAlfa ใช้เป็นเรือดำน้ำจู่โจมพลังงานนิวเคลียร์ แต่เรือดำน้ำชั้น Papa เป็นเรือดำน้ำบรรทุกอาวุธปล่อยนำวิถีพลังงานนิวเคลียร์ นั้นเอง
ขุมพลังของเรือดำน้ำชั้น Papa คือเครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์ VM-5M สองเครื่องแต่ละเครื่องผลิตกำลังการผลิต 177 เมกะวัตต์ ทำให้เรือสามารถทำความเร็วได้สูงถึง 44.7 นอต หรือประมาณ 82.8 กิโลเมตร/ชั่วโมงซึ่งเร็วกว่าเรือดำน้ำชั้น AlFa ที่ืทำความเร็วสุงสุดได้ที่ 41 นอต หรือประมาณ 71กิโลเมตร/ชั่วโมง
ระบบอาวุธของเรือ มีท่อตอร์ปิโด4ท่อที่มี บรรทุกตอร์ปิโดเพียง 12 ลูก เพื่อการป้องกันตนเองเท่านั้น แต่อาวุธยุทโธปกรณ์หลักของมันคือการเป็นอาวุธปล่อยนำวิถี SS-N-7 Amethyst ติดตั้งในท่อยิงข้างเรือซึ่งนี่เป็นอาวุปล่อยนำวิถีแบบแรกที่ออกแบบมาเพื่อการยิงจากใต้น้ำ
โดยยุทธวิธีของเรือดำน้ำชั้นPapa นั้นง่ายมากๆ คือ เรือดำน้ำจะเดินทางด้วยความเร็วสูงไปยังพื้นที่ปฏิบัติการ แล้วใช้โซนาร์ MGK3 Rubin ค้นหาเป้าหมาย เมื่อหาเจอแล้วก็จะป้อนข้อมูลไปยังอาวุธปล่อยนำวิถีเพื่อเตรียมทำการยิง เรือจะขึ้นมาอยู่ในระดับความลึก 30เมตร ในระยะประมาณ 74 กิโลเมตร แล้วทำการยิง SS-N-7 ซึ่งเรือสามารถยิงSS-N-7ออกไป 5 นัดในเวลา 3นาที เมื่ออาวุธปล่อยเข้าเป้า เรือดำน้ำก็เดินทางกลับฐานเพื่อบรรจุอาวุธปล่อยใหม่เข้าไป
ด้วยเทคโนโลยีใหม่จำนวนมาก ทำให้เกิดกาผิดพลาดในโครงการในปี 1962 และ 1963 แต่ในที่สุดเรือดำน้ำProject 661 ชื่อ K-162 ปล่อยลงน้ำในปี 1965 และเข้าประจำการในปี 1969 ในการทดลองทะเลเบื้องต้นเรือสามารถทำความเร็วได้ถึง 42 นอต หรือประมาณ 77กิโลเมตร/ชั่วโมง เกินความเร็วที่ระบุไว้ในเอกสารการออกแบบ ที่ 38 นอต หรือประมาณ 70 กิโลเมตร/ชั่วโมง ซึ่งเรือดำน้ำของสหรัฐฯในยุคนั้นมีความเร็วสูงสุดเพียงแค่ 28 น็อตหรือประมาณ 51 กิโลเมตร/ชั่วโมง เท่านั้น ต่อมาวันที่ 30 ธันวาคม 1969 กัปตัน Golubkov Filipovich ใช้ K-162 ในการทดสอบขีดความสามารถสูงสุด เรือดำน้ำสามารถสร้างสถิติโลกด้วยความเร็ว 44.7 นอต หรือประมาณ 82.6 กิโลมเตร/ชั่วโมง โดยใช้พลังงาน 97 เปอร์เซ็นต์ของเครื่องปฏิกรณ์ ขณะที่อยู่ในระดับความลึก 100 เมตร
ต่อมาการทดสอบครั้งที่สองเมื่อวันที่ 30 มีนาคม 1971 โดยเรือแล่นโดยใช้พลังงาน 100 เปอร์เซ็นต์ ก็สามารถทำลายสถิติเดิมได้ด้วยความเร็ว 44.85 นอต หรือประมาณ 83 กิโลเมตร/ชั่วโมง แต่เรือก็เกือบเสียการควบคุมจนต้องยกเลิกการทดสอบไป
การที่เรือดำน้ำชั้นPapa ทำความเร็วได้สูงขนาดนี้ก็มีข้อดีหลายอย่างแต่กลับกันมันกลายเป็นข้อเสียใหญ่หลวง คือเรื่องของเสียง โดยการเครื่องที่ด้วยความเร็วสูงนั้นทำให้เกิดเสียงดังถึงประมาณ 100 เดซิเบล ซึ่งได้มีการบันทึกจากลูกเรือโซเวียต ในหนังสือ Cold War Submarines ว่า
"เมื่อทำความเร็ว 35 นอต เสียงในตัวเรือดำน้ำเหมือนเสียงเครื่องยนต์เจ็ท และเสียงในห้องเครื่องยนต์นั้นดังเหมือนฟ้าร้องฟ้าผ่า"
แน่นอนว่าเสียงที่ดังและเดินทางได้ดีในน้ำ ทำให้ข้าศึกสามารถจับเสียงของเรือดำน้ำได้ไกลมากๆ จากกรณีของเรือดำน้ำชั้น Alfa ที่มีการอ้างว่าสามารถจับเสียงเรือดำน้ำชั้นนี้เวลาเร่งเครื่องทำความเร็วสูงสุดได้ไกลถึงเบอร์มิวดาจากทะเลแบเร็นตส์ใกล้แนวปราบเรือดำน้ำนาโต้เลยทีเดียว
ปัญหาอีกอย่างคือ งบประมาณที่ใช้การสร้างเรือดำน้ำชั้นนี้ที่งบประมาณ 2 พันล้านรูเบิล(ในสมัยนั้น)ซึ่งมันสูงมากๆ ทำให้มีการสร้างเรือดำน้ำรุ่นนี้ิิออกมาแค่ลำเดียวเท่านั้น
สุดท้ายเรือดำน้ำชั้นนี้ก็มีประจำการเพียงแค่ลำเดียว คือ K-222 (เรือที่ได้รับการเปลี่ยนชื่อมาจาก K-162 ซึ่งกลับมาเข้าประจำการในปี 1975) ซึ่งก็ถูกใช้งานมาเรื่อยจนถูกลดบทบาทลงไปในปี 1984 ก่อนจะยุติบทบาทในปี 1989 และปลดประจำการในปี1999 สุดท้ายเรือก็แยกชิ้นส่วนไปในปี 2010
ที่มา
https://web.facebook.com/plugins/post.php?href=https%3A%2F%2Fweb.facebook.com%2FDEFNETOfficial%2Fposts%2F2077637392548040&width=500
Comments